โลก (Earth) ดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่แสนมหัศจรรย์

โลก earth เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่สามจากดวงอาทิตย์ใน ระบบสุริยะ เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่ทราบกันว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดาวโลก เป็นดาวเคราะห์หินแข็งที่มีชั้นบรรยากาศที่อุดมไปด้วยออกซิเจน น้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์ ผิวโลก ประกอบด้วยทวีป มหาสมุทร และเกาะต่างๆ การกำเนิดโลก ก่อตัวขึ้นเมื่อประมาณ 4,500 ล้านปีก่อน จากการรวมตัวของเศษหินและฝุ่นในอวกาศ โลกมีสนามแม่เหล็กที่ป้องกันไม่ให้รังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์ตกกระทบ พื้นผิวโลก โลก มีแรงโน้มถ่วงที่เพียงพอที่จะรักษาบรรยากาศไว้ได้

สิ่งมีชีวิตปรากฏตัวบนโลกเมื่อประมาณ 3,800 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มเป็น สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ต่อมาสิ่งมีชีวิตเซลล์หลายเซลล์ก็พัฒนาขึ้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้วิวัฒนาการและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมบนโลก มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกมานานหลายล้านปี มนุษย์ได้พัฒนาเทคโนโลยีและวัฒนธรรมที่ซับซ้อน มนุษย์ได้สร้างอารยธรรมต่างๆ ขึ้นบนโลก โลกเป็นสถานที่มหัศจรรย์และซับซ้อน โลกเป็นบ้านของเรา และเราทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลโลกของเรา

เส้นผ่านศูนย์กลางโลก (Earth’s diameter) คือ ระยะทางระหว่างจุดสองจุดที่อยู่ตรงข้ามกันบนโลก เส้นผ่านศูนย์กลางโลกมีความยาวประมาณ 12,756 กิโลเมตร (7,926 ไมล์) รัศมีของโลก (Earth’s radius) คือ ระยะทางจากจุดศูนย์กลางโลกไปยังผิวโลก รัศมีของโลกมีความยาวประมาณ 6,378 กิโลเมตร (3,963 ไมล์) ทั้งนี้ เส้นผ่านศูนย์กลางของโลกจะยาวกว่ารัศมีของโลกประมาณสองเท่า

เลือกอ่านหัวข้อบทความที่น่าสนใจ

โลก ส่วนประกอบของโลก

โลกประกอบด้วย ส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ ธรณีภาค (Lithosphere) อุทกภาค (Hydrosphere) บรรยากาศ (Atmosphere) ชีวภาค (Biosphere)

โลก ธรณีภาค (Lithosphere)

ธรณีภาค (Lithosphere) เป็นชั้นหินแข็งที่อยู่ชั้นนอกสุดของโลก ประกอบด้วยเปลือกโลก (Crust) และเนื้อโลกชั้นบนสุด (Upper mantle) ธรณีภาคมี ความหนาของเปลือกโลก ประมาณ 100-200 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • ธรณีภาคมหาสมุทร (Oceanic lithosphere) อยู่ระหว่างผิวมหาสมุทรและฐานธรณีภาค หนาประมาณ 50-100 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินหนืดที่มีซิลิคอนและเหล็กเป็นองค์ประกอบหลัก
  • ธรณีภาคพื้นทวีป (Continental lithosphere) อยู่ระหว่างผิวทวีปและฐานธรณีภาค หนาประมาณ 40-200 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินแข็งที่มีซิลิคอนและออกซิเจนเป็นองค์ประกอบหลัก

พื้นผิวโลกส่วนที่เป็นพื้นดิน เป็นชั้นที่แข็งที่สุดของโลก แต่ก็ยังมีความยืดหยุ่นและเคลื่อนที่ได้ เนื่องจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (Plate tectonics) เปลือกโลกส่วนบน เป็นแผ่นหินแข็งขนาดใหญ่ที่แบ่งโลกออกเป็นส่วนๆ แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการชนกัน แยกตัว และเคลื่อนที่สวนทางกัน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ร่องลึกมหาสมุทร และการยกตัวขึ้นของทวีป

ธรณีภาคมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก ธรณีภาคเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น ดิน หิน และแร่ธาตุต่างๆ ธรณีภาคยังช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตบนโลกจากรังสีอันตรายจาก ดวงอาทิตย์


โลก อุทกภาค (Hydrosphere)

อุทกภาค (Hydrosphere) หมายถึง ส่วนของน้ำทั้งหมดที่พบบนโลก ทั้งบนพื้นโลก ใต้ดิน ในอากาศ และในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เช่น มหาสมุทร ทะเล แม่น้ำ ลำธาร เป็นต้น อุทกภาคคิดเป็นประมาณ 71% ของพื้นผิวโลก น้ำเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโลก น้ำเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก น้ำยังช่วยหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณต่างๆ บนโลก น้ำยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของโลกให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต น้ำยังช่วยชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆ บนโลก และช่วยในการละลายแร่ธาตุต่างๆ บนโลก

อุทกภาคแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ดังนี้

  • มหาสมุทร (Oceans) คิดเป็นประมาณ 97% ของอุทกภาคทั้งหมด มหาสมุทรเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตมากมาย เช่น ปลา สัตว์ทะเล และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กต่างๆ มหาสมุทรยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ เช่น น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ ปลา และโลหะต่างๆ
  • น้ำจืด (Fresh water) คิดเป็นประมาณ 3% ของอุทกภาคทั้งหมด น้ำจืดส่วนใหญ่พบในรูปของน้ำแข็งบนขั้วโลกและธารน้ำแข็ง น้ำจืดบางส่วนพบในรูปของน้ำใต้ดิน น้ำจืดบางส่วนพบในรูปของแม่น้ำ ลำธาร ทะเลสาบ และแหล่งน้ำขนาดเล็กต่างๆ น้ำจืดเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมนุษย์ น้ำจืดยังใช้ในการเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม และการผลิตพลังงาน
  • น้ำในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต (Biota) คิดเป็นประมาณ 0.001% ของอุทกภาคทั้งหมด น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด น้ำช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ของสิ่งมีชีวิต น้ำยังช่วยลำเลียงสารต่างๆ ภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต

โลก บรรยากาศ (Atmosphere)

บรรยากาศ (Atmosphere) หมายถึง ชั้นอากาศที่ห่อหุ้มโลกอยู่ บรรยากาศประกอบด้วยแก๊สต่างๆ เช่น ไนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอน บรรยากาศช่วยป้องกันรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์ และช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต บรรยากาศแบ่งออกเป็น 5 ชั้นหลักๆ ดังนี้

  • ชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) อยู่ติดกับพื้นผิวโลก คิดเป็นประมาณ 75% ของมวลบรรยากาศทั้งหมด อุณหภูมิในชั้นโทรโพสเฟียร์จะลดลงเมื่อสูงขึ้นไป อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นโทรโพสเฟียร์อยู่ที่ประมาณ 15 องศาเซลเซียส
  • ชั้นสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) อยู่ถัดจากชั้นโทรโพสเฟียร์ คิดเป็นประมาณ 20% ของมวลบรรยากาศทั้งหมด อุณหภูมิในชั้นสตราโตสเฟียร์จะเพิ่มขึ้นเมื่อสูงขึ้นไป อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นสตราโตสเฟียร์อยู่ที่ประมาณ -51 องศาเซลเซียส
  • ชั้นมีโซสเฟียร์ (Mesosphere) อยู่ถัดจากชั้นสตราโตสเฟียร์ คิดเป็นประมาณ 7% ของมวลบรรยากาศทั้งหมด อุณหภูมิในชั้นมีโซสเฟียร์จะลดลงเมื่อสูงขึ้นไป อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นมีโซสเฟียร์อยู่ที่ประมาณ -92 องศาเซลเซียส
  • ชั้นเทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) อยู่ถัดจากชั้นมีโซสเฟียร์ คิดเป็นประมาณ 0.01% ของมวลบรรยากาศทั้งหมด อุณหภูมิในชั้นเทอร์โมสเฟียร์จะเพิ่มขึ้นเมื่อสูงขึ้นไป อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นเทอร์โมสเฟียร์อยู่ที่ประมาณ 1,500 องศาเซลเซียส
  • ชั้นเอกโซสเฟียร์ (Exosphere) อยู่ถัดจากชั้นเทอร์โมสเฟียร์ คิดเป็นประมาณ 0.001% ของมวลบรรยากาศทั้งหมด อุณหภูมิในชั้นเอกโซสเฟียร์จะลดลงเมื่อสูงขึ้นไป อุณหภูมิเฉลี่ยของชั้นเอกโซสเฟียร์อยู่ที่ประมาณ -270 องศาเซลเซียส

บรรยากาศมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก บรรยากาศช่วยให้โลกเป็นดาวเคราะห์ที่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิต ดังนี้

  • บรรยากาศช่วยปกป้องสิ่งมีชีวิตบนโลกจากรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) รังสีเอกซ์ และรังสีคอสมิก
  • บรรยากาศช่วยรักษา อุณหภูมิโลก ให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต แก๊สเรือนกระจกในบรรยากาศ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ทำหน้าที่กักเก็บความร้อน ทำให้อุณหภูมิของโลกไม่เย็นเกินไป
  • บรรยากาศช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำบนโลก น้ำจากชั้นบรรยากาศจะระเหยสู่ชั้นบรรยากาศแล้วควบแน่นเป็นเมฆ ตกลงสู่พื้นโลกในรูปแบบของฝน น้ำฝนจะไหลลงสู่แม่น้ำ ลำธาร และมหาสมุทร น้ำเหล่านี้จะไหลย้อนกลับสู่ชั้นบรรยากาศอีกครั้ง
  • บรรยากาศเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น นก แมลง และแบคทีเรีย

แก่นโลก (Core)

แก่นโลกคือ แก่นโลกชั้นใน สุดของโลก อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกประมาณ 6,371 กิโลเมตร แก่นโลกแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ

  • แก่นโลกชั้นนอก (Outer core) อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกประมาณ 2,900 กิโลเมตร แก่นโลกชั้นนอกเป็นของเหลวร้อนจัด แกนกลางโลก มีอุณหภูมิสูงถึง 5,500 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยเหล็ก นิกเกิล และกำมะถันเป็นองค์ประกอบหลัก
  • แก่นโลกชั้นใน (Inner core) อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกประมาณ 5,100 กิโลเมตร แก่นโลกชั้นในเป็นของแข็ง มีอุณหภูมิสูงถึง 6,000 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยเหล็ก นิกเกิล และกำมะถันเป็นองค์ประกอบหลัก

เนื้อโลก (Mantle)

เนื้อโลก เป็น ชั้นเนื้อโลก ที่อยู่ถัดจากแก่นโลก อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกประมาณ 2,900 กิโลเมตร ถึง 6,371 กิโลเมตร ชั้นของโลก แบ่งออกเป็น 2 ชั้น และ เนื้อโลกประกอบด้วย

  • เนื้อโลกชั้นบน (Upper mantle) อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกประมาณ 2,900 กิโลเมตร ถึง 4,900 กิโลเมตร เนื้อโลกชั้นบนมีอุณหภูมิสูงถึง 1,300 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยซิลิเกต เหล็ก และแมงกานีสเป็นองค์ประกอบหลัก เนื้อโลกชั้นบนยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อย คือ
  • ฐานธรณีภาค (Asthenosphere) เป็นชั้นเนื้อโลกชั้นบนตอนล่าง มีลักษณะเป็นของเหลวหนืด อุณหภูมิสูงและความดันต่ำ ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
  • ชั้นการเปลี่ยนแปลง (Transition zone) เป็นชั้นเนื้อโลกชั้นบนตอนบน มีลักษณะเป็นของแข็ง อุณหภูมิสูงขึ้นจากฐานธรณีภาค
  • เนื้อโลกชั้นล่าง (Lower mantle) อยู่ลึกลงไปจากผิวโลกประมาณ 4,900 กิโลเมตร ถึง 6,371 กิโลเมตร เนื้อโลกชั้นล่างมีอุณหภูมิสูงถึง 3,000 องศาเซลเซียส ประกอบด้วยซิลิเกต เหล็ก และแมงกานีสเป็นองค์ประกอบหลัก เนื้อโลกชั้นล่างมีความหนาแน่นสูงมาก ประมาณ 5.5 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร

เนื้อโลกเป็นชั้นที่ร้อนและหนาแน่นที่สุดของโลก ความร้อนจากเนื้อโลกเป็นตัวขับเคลื่อนการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกและทำให้เกิดสนามแม่เหล็กโลก เนื้อโลกเป็นชั้นที่ยากต่อการสำรวจมากที่สุด เนื่องจากอยู่ลึกลงไปจากผิวโลกมากนัก การศึกษาเนื้อโลกจึงอาศัยการวัดคลื่นไหวสะเทือนจากแผ่นดินไหวเป็นหลัก เนื้อโลกชั้นบนมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นชั้นที่รองรับแผ่นเปลือกโลก แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการเกิดภูเขาไฟ แผ่นดินไหว และร่องลึกมหาสมุทร เนื้อโลกชั้นล่างมีความสำคัญต่อโลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดของสนามแม่เหล็กโลก สนามแม่เหล็กโลกช่วยปกป้องโลกจากรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์


โลก สรุป

โลกเป็นดาวเคราะห์ลำดับที่สามจากดวงอาทิตย์ และเป็นดาวเคราะห์หินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ โลกมีรูปร่างเป็นทรงกลมแป้นเล็กน้อย มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12,756 กิโลเมตร และรัศมีประมาณ 6,378 กิโลเมตร

โลกประกอบด้วยชั้นต่างๆ ดังนี้

  • เปลือกโลก (Crust) เป็นชั้นนอกสุดของโลก หนาประมาณ 100-200 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินแข็งและดิน
  • เนื้อโลกชั้นบน (Upper mantle) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากเปลือกโลก หนาประมาณ 2,900-4,900 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินหนืด
  • เนื้อโลกชั้นล่าง (Lower mantle) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากเนื้อโลกชั้นบน หนาประมาณ 4,900-6,371 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินแข็ง
  • แก่นโลกชั้นใน (Inner core) เป็นชั้นที่อยู่ชั้นในสุดของโลก หนาประมาณ 5,100 กิโลเมตร เป็นของแข็ง
  • แก่นโลกชั้นนอก (Outer core) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากแก่นโลกชั้นใน หนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร เป็นของเหลว

โลกมีบรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่ บรรยากาศประกอบด้วยแก๊สต่างๆ เช่น ไนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอน บรรยากาศช่วยปกป้องโลกจากรังสีอันตรายจากดวงอาทิตย์ และช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต โลกมีน้ำอยู่มากมาย น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโลก น้ำเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก น้ำยังช่วยหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณต่างๆ บนโลก

โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น กระบวนการภายในโลก เช่น การเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลก การเกิดภูเขาไฟ และการเคลื่อนที่ของทวีป กระบวนการภายนอกโลก เช่น การกัดเซาะของลมและน้ำ การเกิดแผ่นดินไหว และการเกิดสึนามิ โลกเป็นดาวเคราะห์ที่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิต โลกมีบรรยากาศที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำ และมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต โลกจึงเป็นบ้านที่แสนพิเศษสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

แหล่งอ้างอิงจาก

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดาวโลก

โลกสีอะไร

โลกเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงิน

โลกแบ่งออกเป็นกี่ชั้น

โลกมีชั้นทั้งหมด 5 ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก , เนื้อโลกชั้นบน , เนื้อโลกชั้นล่าง , แก่นโลกชั้นนอก , แก่นโลกชั้นใน

โลกมีอายุกี่ปี

โลกมีอายุประมาณ 4.54 พันล้านปี

โลกเป็นทรงอะไร

โลกมีรูปร่างเป็นทรงกลมแป้นเล็กน้อย (Oblate Spheroid)

โลกจะอยู่ได้อีกกี่ปี

นักวิทยาศาสตร์คาดว่าโลกจะอยู่ได้อีกอย่างน้อย 1.75 พันล้านปี ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขยายขนาดขึ้นจนกลืนกินโลกเข้าไป

โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร

โลกเกิดจากการรวมตัวกันของก๊าซและฝุ่นผงในอวกาศ